วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Remote Desktop ไปใช้ Linux จาก Windows ได้ง่าย ๆ ด้วย Xrdp

บ้านเราทำยังไงลินุกซ์ก็ยังไม่แพร่หลายบนเดสก์ทอปสักที ทั้งที่หลาย ๆ บริษัทต่างก็เริ่มลงลินุกซ์ค่ายต่าง ๆ โดยเฉพาะ Ubuntu มาให้ในคอมพิวเตอร์ของตน แต่ทางฝั่งเซอร์ฟเวอร์ แอดมินส่วนใหญ่ต่างก็คุ้นเคยกับลินุกซ์กันดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะการ remote เข้าไปแบบบรรทัดคำสั่งด้วย SSH หรือ telnet (ใครยังใช้อยู่บ้าง?) ขณะที่ฝั่ง Windows Server แม้จะมี Powershell เข้ามาอำนวยความสะดวก แต่ส่วนใหญ่ก็คงต้องเข้าไปใช้ผ่าน remote desktop อยู่ดี วันนี้เลยนึกสนุกลองตั้งโจทย์ว่าถ้าจะ remote จากวินโดวส์เข้าไปใช้ลินุกซ์แบบเดสก์ทอปบ้างล่ะ จะได้ไหม

เนื่องจากโปรโตคอลที่ใช้ remote desktop ของวินโดวส์คือ RDP เลยลองค้น RDP for X Windows ใน Google เว็บแรกที่เจอก็คือ http://www.xrdp.org/ ซึ่งเป็น RDP server แบบ open source ลองเข้าไปที่เครื่อง Ubuntu 12.04 แล้ว apt-get install xrdp แพคเกจที่ต้องใช้ก็ดาวน์โหลดมาติดตั้งให้เรียบร้อยในเวลาอันรวดเร็ว แค่นี้ก็เสร็จแล้วครับ


จากฝั่งวินโดวส์ เปิดโปรแกรมรีโมทเดสก์ทอปขึ้นมาตามปกติ ใส่ชื่อหรือไอพีของเครื่อง Linux ที่ต้องการ เมื่อเชื่อมต่อแล้วก่อนอื่นต้องป้อนผู้ใช้กับรหัสผ่านอย่างในรูปที่เห็นนี้เสียก่อน สำหรับ module ให้ใช้ค่าตั้งต้น sesman-Xvnc ได้เลย เพียงเท่านี้ก็สามารถเข้าใช้ Ubuntu ในแบบเดสก์ทอปได้แล้ว


และเมื่อใช้เดสก์ทอปได้ อีกวิธีที่น่าสนใจคือสามารถนำมาประยุกต์ใช้เป็น VDI หรือ Virtual Desktop Infrastructure ก็ได้ จริง ๆ ช่วงที่ผ่านมาศึกษาแนวทางการทำ VDI กับ Windows มาพักใหญ่ แต่เริ่มถอดใจกับความยุ่งยากเกี่ยวกับไลเซนส์ ซึ่งต้องพิจารณาให้รอบคอบและใช้ไลเซนส์ประกอบกันทั้งฝั่งเซอร์ฟเวอร์และไคลเอนท์ให้ถูกต้อง กล่าวได้อีกอย่างว่างกนั่นเอง ถ้ามีโอกาสได้ implement จริง ๆ จัง ๆ จะนำมาเล่าสู่กันฟังในภายหลังครับ



สำหรับการ remote desktop ด้วย xrdp นี้ ถ้าใครได้ลองแล้วคงรู้สึกว่าออกจะตอบสนองช้าสักหน่อย สามารถเพิ่มความเร็วด้วยโดยแลกกับจำนวนสีที่ใช้ในการแสดงผล ซึ่งที่ 16 bit หรือ High Color ก็ใช้ได้อยู่ หรือไม่ก็ต้องหา solution อื่น แต่สาเหตุที่เลือกใช้วิธีนี้หลัก ๆ ก็คือสามารถเข้าถึงได้จาก Windows ทุกเครื่องโดยไม่ต้องใช้ซอฟต์แวร์เพิ่มเติม ถ้าจำเป็นเข้าเน็ตคาเฟ่ที่ไหนก็รีโมตไปได้ เผื่อไว้ยามจำเป็นครับ

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วันนี้วันดี Android 4.3 อัพเดต JWR66Y แถม Amber สำหรับ Lumia 620 ก็ Coming soon!


เมื่อเช้าตื่นมาพร้อมข้อความแจ้งว่าดาวน์โหลดอัพเดตแล้ว ติดตั้งแล้วบูตใหม่ได้เลย เสร็จเรียบร้อย บูตขึ้นมากลายเป็น build JWR66Y อัดเดตตัวนี้ไฟล์เล็กนิดเดียว แค่ 1.7 MB เท่านั้น จะว่าไปหลังจากติดตั้ง Jelly Bean 4.3 ตัวหลักมารู้สึกว่าเครื่องทำงานได้เร็วขึ้น น่าจะต่ออายุเจ้า Galaxy Nexus ไปได้อีกยาว สำหรับครั้งนี้เท่าที่อ่านดู น่าจะเป็นการแก้ไขช่องโหว่และอัพเดตด้านความปลอดภัยเป็นหลัก ใครใช้ Android 4.3 อยู่แล้วยังไม่ขึ้นมาอัพเดตอัตโนมัติ ลองเข้าไปเช็คด้วยตนเองก่อนได้เลยครับ

กับอีกค่ายที่น่าสนใจคือ Windows Phone ของ Nokia ที่เริ่มอัพเดตเป็น Amber มาระยะหนึ่งแล้ว โดยเริ่มจากพี่ใหญ่ Lumia 920 ส่วนรุ่นอื่น ๆ บ้านเรายังคงเป็น waiting for approval มาพักใหญ่ แม้เพื่อนบ้านเราจะทยอยปล่อยรุ่นอื่น ๆ มาบ้างแล้ว วันนี้ไหน ๆ เครื่อง Android ได้รับอัพเดต เลยลองเข้าไปเช็ค Availability ของ Nokia Windows Phone 8 ใน Asia Pacific ดูบ้าง พบว่าเครื่องต่อไปที่น่าจะได้รับ Amber ท่าจะเป็นน้องเล็ก Lumia 620 เพราะวันนี้เปลี่ยนสถานะเป็น Coming soon แล้ว

เดี๋ยวนี้จะซื้อโทรศัพท์สักเครื่องต้องมานั่งลุ้นกันเป็นประจำว่าจะได้ "แพ" แถมมาด้วยรึเปล่า แต่ท่าทางทั้งสองเครื่องนี้น่าจะตัดสินใจไม่ผิดนะ

วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Truemove-H แจกเน็ต 3G ฟรี 4 GB อ่านข้อตกลงสักนิดก่อนตัดสินใจ

วันนี้บังเอิญต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับโปรโมชันของ Truemove-H เปิดเว็บเข้าไปเจอโปรโมชันรับเน็ต 3G ฟรี 4 GB สำหรับใครก็ได้ที่มีมือถือ 3G คนคิดโปรโมชันช่างเลือกคำโฆษณาได้สะดุดตา อ่านแล้วคิดทันที เราก็มีนี่นา ลองดูรายละเอียดดีกว่า


คลิกเข้าไปปุ๊บก็เจอเงื่อนไขสะกิดใจหลายประเด็น แล้วก็พาลคิดไปถึงหลายกรณีที่เจอกับเครือข่ายมือถือบ้านเราแต่ละค่ายที่มักมี "เงื่อนไข" เล็ก ๆ น้อย ๆ แฝงมาทำให้ผู้ใช้ต้องพิจารณาดี ๆ ทำนองนี้ครับ
  1. ดูในรูปดี ๆ มีวงเล็บเล็ก ๆ 3G เฉพาะ 850/2100 MHz เท่านั้น เครื่องไหน 900/2100 อดนะ
  2. 3G ฟรี 4 GB แบ่งเป็น 2 งวด เดือนแรก 2 GB รอบต่อ ๆ ไปรอบละ 200 MB/30 วันได้อีก 10 รอบ รวมทั้งหมด 4 GB
  3. แต่ละรอบที่จะใช้ต้องส่ง SMS และคลิกตามลิงค์เพื่อเปิดใช้บริการ รอบไหนไม่กดเท่ากับสละสิทธิ์ของรอบนั้น ๆ  
  4. ตรงนี้ไม่แน่ใจ แต่เหมือนว่าผู้ใช้เติมเงินพอได้รับ SMS แล้วต้องเติมเงินอย่างน้อย 50 บาทด้วย จึงจะมีสิทธิใช้ ไม่ใช่ว่ามีเงินคาอยู่จะใช้ได้ยาวไปเรื่อย ๆ
  5. โปรนี้ไม่ใช่ว่าใช้เกินโควต้าแล้ว speed ตกแต่เป็นหมดแล้วหมดเลย ดังนั้นใช้หมดแล้วใช้ต่อ คิดเงินเพิ่มลูกเดียว เว้นแต่มีโปรอื่นรองรับ
  6. ที่สะกิดใจที่สุดคือ 200 MB ในแต่ละรอบใช้ได้แค่ 7 วัน ดังนั้นใครเอามาใช้คงต้องระวังดี ๆ ใช้เกินไป ถ้ามีโปรอื่นรองรับก็ยังดี แต่ถ้าไม่มีแล้วเผลอใช้ไปใบเรียกเก็บเงินมาอาจหน้าหงายได้
 

ถ้ารับได้กับเงื่อนไขต่าง ๆ โปรนี้ก็น่าสนใจครับ โดยเฉพาะถ้าใครมีซิมทรูอยู่ หรือเอาสแตมป์ไปแลกฟรียิ่งคุ้มใหญ่ ใช้ฟรีแค่เดือนแรกก็คุ้มแล้ว แต่ทางบริษัทระบุว่าใช้สิทธิได้ 1 ซิม/1 เครื่อง เท่านั้น แสดงว่าคงมีกลไกตรวจสอบ IMEI เตรียมไว้แล้วครับ ก็ไม่รู้จะได้ผลขนาดไหน แต่เชื่อได้เลยว่าเดี๋ยวเบอร์โทรศัพท์จะถูกหมุนเวียนกันมหาศาลเพราะคงมีคนใช้เดือนเดียวแล้วทิ้งอีกมากมาย

แต่ในทางกลับกันถ้าผู้ใช้เบอร์ทรูอยู่แล้วสนใจสมัครอาจต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะถ้าเริ่มใช้แล้วเท่ากับผูกมัดกันไปอีก 11 เดือน ไม่แน่ใจว่าถ้าคนไม่ได้ใช้โปรใด ๆ เปิดใช้จนโควต้าหมดในแต่ละรอบ ระบบจะหยุดใช้เน็ตโดยอัตโนมัติไหม แต่คิดว่าคงไม่ตัด ถ้าเป็นเบอร์เติมเงินคงไม่เท่าไหร่ ใครใช้รายเดือนอาจโดนหลายตังค์

คิดเล่น ๆ ค่ายมือถือได้เงินจากลูกค้าที่พลาดใช้เน็ตเกินกันสักเท่าไหร่ในแต่ละเดือน?

วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556

กำแพงภาษาคงพังทลายในอีกไม่ช้า เมื่อมี Google กับ Bing ติดตัวตลอดเวลา

ปกติไม่ค่อยได้อีเมลภาษาอื่น ๆ นอกจากภาษาไทยกับภาษาอังกฤษ เลยไม่ได้สนใจเรื่องการแปลภาษาเท่าไหร่ วันนี้ได้อีเมลโฆษณา Kindle Fire ลดราคาจาก Amazon.co.jp เจอภาษาญี่ปุ่นแล้วสนใจรายละเอียด ถ้าเปิดในเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้ Chrome ก็มีตัวเลือกให้แปลภาษาอัตโนมัติอยู่แล้ว แต่นี่ดูอีเมลบนโทรศัพท์ Android เลยต้องอาศัยก๊อปปี้ไปวางใน Google Translate ให้ช่วยแปลให้


ตอนเปิดเว็บ อาศัย Google Translate มาตลอด อย่างน้อยก็อ่านได้พอเข้าใจ แต่ที่แปลคราวนี้ช่วงต้น ๆ ก็อ่านเข้าใจได้อยู่ แต่ประโยคท้ายอ่านแล้วงงเล็กน้อย จริง ๆ ดูจากต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นก็เดาว่าน่าจะออกมาทำนองว่าลดราคา 3,000 เยน ถึง 9/1 แต่เพื่อความมั่นใจ หยิบ Windows Phone มาลองเปิดดูด้วย Bing Translator อีกที


คราวนี้ช่วงท้ายยืนยันที่คิดไว้ ว่าลดถึง 9/1 ซึ่งก็น่าจะเป็นเดือน 9 วันที่ 1 แต่พอย้อนกลับไปอ่านช่วงแรกก็ยังรู้สึกว่า Google แปลได้เข้าใจง่ายกว่าอยู่ดี อย่างไรซะทั้งสองค่ายต่างก็ยังไม่มีคุณสมบัติแปลภาษาใส่ไว้ในโปรแกรมอ่านอีเมล ต้องก๊อปปี้ไปแปะในโปรแกรมแปลภาษาอยู่ดี แต่อีกไม่นานคงมีให้ใช้แน่นอนเพราะแต่ละค่ายต่างก็ต้องแข่งกันพัฒนาระบบของตนให้ดียิ่งขึ้น

การแข่งขันเป็นสิ่งสวยงามครับ ^_^

Kindle Fire บน Amazon Japan ลดเพิ่ม 3,000 เยนทุกรุ่น ถึง 1 กันยายน 2013

วันนี้ได้อีเมลจาก Amazon.co.jp แจ้งว่า Kindle ตระกูล Fire ลดราคา 3,000 เยนทุกรุ่น และถ้า Bing Translator แปลให้ไม่ผิด โปรโมชันนี้จะมีถึงวันที่ 1/9/2013 (จริง ๆ ใช้ Google Translate แปลแล้วรอบนึง แต่คราวนี้อ่านแล้วงงเลยลอง Bing แทน)


จากที่เคยเขียนไว้ Japan No Visa จงรีบไปซื้อ Amazon Kindle โดยพลัน ราคาปกติของ Kindle ในญี่ปุ่นก็ถูกกว่าที่อื่น ๆ แม้แต่ในสหรัฐฯ ถ้าตอนนี้ใครกำลังเล็งเครื่องอ่านอีบุ๊กจอสีอยู่ แล้วบังเอิญจะไปญี่ปุ่นช่วงนี้พอดีจัดได้เลยครับ เพราะเท่ากับลดราคาราว 1,000 บาททุกรุ่น อย่าง Fire HD ตอนนี้แม้ค่าเงินบาทตกลงไปมาก แต่ 12,800 เยนก็ตกราว 4,200 หรือ Kindle Fire ที่ลดเหลือ 9,800 เยน ซึ่งก็คือ 3,200 บาทเท่านั้น แถมเว็บ Amazon ประเทศญี่ปุ่นยังมีบริการส่งของให้ไปรับตามร้านสะดวกซื้อได้ทั่วประเทศ สั่งซื้อไว้ มีเพื่อนฝูงไปก็ฝากแวะรับให้ได้เลย

อย่างไรก็ตาม ก่อนจะซื้อ อย่าลืมพิจารณาให้ดี แม้ Kindle Fire จะเป็นเครื่องอ่านอีบุ๊กที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android แต่ Market ที่ใช้ต้องผูกอยู่กับ Amazon เป็นหลัก ดังนั้นแอพหลาย ๆ ตัวอาจไม่มีให้ใช้ หรือไม่ก็ต้องไปหารอมใหม่มาลงเพื่อให้ใช้เป็นแท็บเล็ตได้เต็มรูปแบบ ถ้าอยากได้แท็บเล็ตไว้เล่นแอพ แนะนำให้มองรุ่นอื่น แต่ถ้าเน้นอ่านหนังสือ ดูเว็บ ดูหนัง ฟังเพลง ได้เครื่องงานประกอบดี ๆ ในราคาถูก จัดมาสักตัวก็ไม่เสียหลาย

แต่จะดีใจมาก ถ้า Paperwhite มาร่วมโปรลด 3,000 เยนกับเขาด้วย

วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ติดตามข่าวสารได้ตามใจแม้ขณะ offline ด้วย Pulse News

Pulse News บน Android

เดี๋ยวนี้ขึ้นรถลงเรือไปเหนือล่องใต้ รึไปไหน ๆ ระหว่างเดินทางก็เห็นแต่ผู้คนก้มหน้าก้มตาจ้องโทรศัพท์มือถือหรือไม่ก็แท็บเล็ตกันทั้งนั้น เกริ่นมาแบบนี้ไม่ได้กะบ่นอะไรครับ เพราะทำอยู่เหมือนกัน ช่วงเดินทางแบบนี้เป็นโอกาสดีที่จะคอยติดตามข่าวสารด้านที่เราสนใจ ครั้นจะโหลดแอพเฉพาะของแต่ละเว็บไซต์มาลงก็วุ่นวายโดยใช่เหตุ สู้หาแอพรับ RSS feed ข่าวสารมาจากเว็บต่าง ๆ มารวมกันไว้ในที่เดียวดีกว่า ซึ่งจริง ๆ ก็มีอยู่หลายโปรแกรม แต่ที่ลองใช้แล้วชอบที่สุดคือตัวนี้เลย Pulse News (โหลดฟรีสำหรับ Android, iOS และ Windows 8) ที่ช่วยให้เราเลือกช่องข่าวสารตามต้องการ และโปรแกรมจะคอยอัพเดตข่าวให้เราอ่านทีหลังหรือแม้ขณะออฟไลน์ได้ เท่าที่ใช้บน Android มาพักใหญ่ชอบใจความสามารถในการทำงานแบบแบคกราวด์ ที่เข้าไปดาวน์โหลดข่าวสารให้ระหว่างที่เครื่องออนไลน์ Wi-Fi ทิ้งไว้ ทำให้ทุกเช้าและเย็นระหว่างเดินทางมีข่าวใหม่ ๆ ให้อ่านทุกครั้ง

Pulse News บน Windows 8
นอกจากบนระบบปฏิบัติการยอดฮิตอย่าง Android กับ iOS แล้ว เมื่อก่อน Pulse ยังเคยออกเวอร์ชันสำหรับ Windows Phone ด้วย แต่ถูกนำออกจาก Windows Store มาตั้งแต่ปี 2011 แล้ว จริง ๆ วันนี้ตั้งใจจะหาเวอร์ชันสำหรับวินโดวส์โฟน 8 สักหน่อย ลองค้นดูกลับเจอเวอร์ชันบนวินโดวส์ 8 ไหน ๆ อุตส่าห์เจอแล้วเลยลองโหลดมาสักหน่อย เวอร์ชันนี้ก็ยังคงจุดเด่นของ Pulse อย่างการซิงค์ข่าวสาร ซึ่งเราสามารถสร้างบัญชีผู้ใช้ หรือจะเชื่อมต่อผ่าน Facebook ก็ได้ แล้วอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็จะมีข่าวจากช่องทางที่เลือกไว้ ไม่ต้องเสียเวลาไปอัพเดตด้วยตนเอง ดังนั้นอยู่หน้าเครื่องไหน ก็อ่านข่าวที่สนใจต่อได้ท้นที ใครไม่ถนัดภาษาอังกฤษไม่เป็นไร แหล่งข่าว IT ดัง ๆ บ้านเราอย่าง Blognone และแบไต๋ ไฮเทค ก็มีให้อ่านด้วย


หวังว่าทางผู้พัฒนาจะยอมกลับมาทำเวอร์ชันสำหรับวินโดวส์โฟนอีกครั้งครับ อนาคตของแพลตฟอร์มจะเป็นอย่างไร หลัก ๆ ก็อยู่กับแอพนี่แหละ เพราะต่อให้ฮาร์ดแวร์ดีแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีแอพที่ต้องการ ผู้ใช้ก็คงไม่เลือกอยู่ดี ว่าแล้วก็วาง Lumia ไว้ที่บ้าน หยิบ Android ใส่กระเป๋าเอาไปนั่งอ่านข่าวบนรถโดยสารต่อไป

วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ลองของ: Here Drive ระบบนำทาง GPS ดี ๆ ที่มาพร้อมเสียงนำทางคาราโอเกะ



จำได้ว่าเมื่อช่วงแรก ๆ ที่สมาร์ทโฟนอย่าง iPhone และ Android ออกใหม่ ๆ ช่วงนั้นไม่ได้ให้ความสนใจเลย เพราะชีวิตยังผูกพันกับระบบนำทางบน Windows Mobile อยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นบนโทรศัพท์มือถือหรือบนอุปกรณ์ GPS ติดรถ ขณะที่โปรแกรมที่มากับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ๆ หลายโปรแกรมต่างก็ต้องการให้ออนไลน์เพื่อโหลดแผนที่เฉพาะบริเวณที่ใช้งาน ซึ่งข้อดีก็คือได้แผนที่ที่เป็นปัจจุบัน แต่ปัญหาคือเวลาไปต่างประเทศไม่ได้ต่อเน็ตแล้วจะนำทางยังไง จนตอนนี้ แม้จะเปลี่ยนโทรศัพท์เป็นแอนดรอยด์ (ไปหลายเครื่อง) แต่ GPS ติดรถตัวหลักที่ใช้ก็ยังคงเป็น Windows CE เก๋ากึ๊กอยู่ดี

พอเริ่มเห็นโฆษณา Windows Phone อย่าง Nokia Lumia ว่ามีระบบนำทางแบบ turn-by-turn ติดมาให้ใช้ได้ฟรี แถมเป็นแผนที่แบบออฟไลน์ และมีให้โหลดได้หลายประเทศด้วยยิ่งสนใจ ที่จริงสาเหตุที่ตัดสินใจเลือก Nokia แม้ช่วงนี้ทั้ง Samsung Ativ S หรือ HTC 8X จะลดราคาอย่างน่าใจหายก็ตาม ก็เพราะแอพ Here Drive ที่เป็น Exclusive นี่แหละ ถึงจะมีวิธีเอาไปลงข้ามรุ่นได้ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะทำงานได้ครบทุกฟังก์ชันหรือเปล่า สุดท้ายเลยได้เจ้า Lumia 620 มา แล้วก็เพิ่งมีโอกาสได้ลองใช้ระบบนำทางเมื่อสองสามวันที่แล้วนี้เอง


ตอนเริ่มใช้ครั้งแรก ระบบขึ้นมาให้ดาวนโหลดแผนที่ ใช้เวลาโหลดผ่าน Wi-Fi ไม่นานก็โหลดเสร็จ แต่น่าสนใจตรงที่แผนที่ที่ดาวน์โหลดมาไม่ยักเก็บไว้ใน SD card แต่กลับอยู่ในหน่วยความจำของโทรศัพท์ ดังนั้นถ้าจะโหลดแผนที่มาเก็บไว้หลาย ๆ ประเทศคงไม่เหมาะ อีกส่วนที่ต้องโหลดมาติดตั้งก่อนใช้งานระบบนำทางคือไฟล์เสียง ซึ่งมีหลายภาษาให้เลือก แต่เมื่อโหลดครั้งแรกลืมโหลดเสียง ระบบเลยนำทางแบบเงียบ ๆ มีเสียงเดียวที่ดังเป็นครั้งคราวคือเสียงกริ่งเตือนความเร็วเกินกำหนด นับว่าดีครับ พอรู้ตัวจะได้ลดความเร็วลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในย่านที่มีกล้องจับความเร็ว ^_^

หน้าจอนำทางทั้งในแบบแนวตั้งและแนวนอนดูง่ายและชัดเจนดี ปัญหาที่พบคือการกำหนดพิกัดปลายทางนอกเหนือจากที่มีในฐานข้อมูลยังไม่สะดวกนัก ไม่สามารถจิ้มจุดที่ต้องการแล้วบอกให้นำทางไปได้เหมือนอีกหลาย ๆ โปรแกรม การกำหนดเงื่อนไขในเส้นทาง เช่นต้องการเลี่ยงถนนสุขุมวิท เพราะรู้ว่ารถติดแน่ ๆ ก็ยังไม่เห็น แต่เรื่องการนำทาง การจับสัญญาณ GPS และการใช้งานจริง นับว่าทำงานได้ดี หน้าจอปรับเป็นโหมดกลางคืนโดยอัตโนมัติเมื่อพลบค่ำ


พอโหลดชุดเสียงนำทางภาษาไทยมาใช้ เปิดครั้งแรกแอบขำนิดหน่อย เพราะถึงแม้จะฟังเข้าใจ แต่เสียงบอกทางนั้นราวกับให้ฝรั่งมาอ่านคำไทยแบบคาราโอเกะ ลองจินตนาการว่าพอเราไม่เชื่อคำแนะนำ แล้วระบบพูดซ้ำ ๆ "เลี่ยว ไซ้ ทั่น ที" เพื่อให้เรากลับรถไปอีกทางหนึ่ง แล้วก็ดันไม่เชื่อซะด้วย เลยนั่งฟังฝรั่งบ่นไทยไปตั้งนาน

สรุปเท่าที่ลองใช้คร่าว ๆ ชอบครับ เป็นระบบนำทางที่ใช้งานได้จริง ไม่ต้องต่ออินเทอร์เน็ต ดังนั้นเอาไปใช้ต่างประเทศได้สบาย ติดอย่างเดียว เย็นนี้ว่าจะกลับไปเอาเสียงนำทางภาษาอังกฤษมาใช้แทนน่าจะฟังรื่นหูกว่า

วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Free Book of the Day - Greatest Clicks: A Dog Photographer's Best Shots

ปกติเปิดเข้า Amazon Kindle มักไปดูหัวข้อหนังสือไอทีหรือหาอะไรแนว Sci-Fi มาอ่านเล่นมากกว่า วันนี้ลองเปิดเข้า Photography เจอเล่มนี้ Greatest Clicks: A Dog Photographer's Best Shots โดย Mark J. Asher เป็นหนังสือภาพที่เล่าถึงแรงบันดาลใจของช่างภาพที่รักการถ่ายภาพสุนัขคนหนึ่ง แม้จะมีไม่กี่หน้า แต่มีรูปสวยถูกใจหลายรูปทีเดียว ที่สำคัญตอนนี้โหลดฟรีจากราคาปกติ 3.99 เหรียญด้วย

อ่านบน Kindle สำหรับ Windows 8

แม้จะโหลดไปอ่านได้บน Kindle รุ่นไหนก็ได้ แต่สำหรับเล่มนี้แนะนำให้เอาไปอ่านดูบนอุปกรณ์ที่เป็นจอสีดีกว่าครับ อ่านจบอยากคว้ากล้องออกไปถ่ายรูปบรรดาหมา ๆ ที่บ้านกันเลยทีเดียว

วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ลองของ: Bing Translator ปะทะ Google Translate ในโหมดภาพถ่าย

รู้กันอยู่ว่า Microsoft กับ Google แอบมีงัดข้อกันเล็ก ๆ มาตลอด ล่าสุดนี่ก็มีประเด็น App YouTube ที่ไมโครซอฟต์ปล่อยออกมาให้ใช้ได้วันเดียวก็ถูกกูเกิลบล็อคไปเรียบร้อยโดยให้เหตุผลว่าทำผิดข้อตกลง นี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้เห็นว่าการทำเองใช้เองได้เป็นอะไรที่ดีที่สุดจริง ๆ

ระบบการแปลภาษาก็เป็นฟังก์ชันเด่นอย่างหนึ่งของกูเกิลมาแต่ไหนแต่ไร กับ Google Translate ที่หลายคนคงเคยใช้ช่วยแปลภาษาบนเว็บกันอยู่บ่อย ๆ แม้จะแปลเป็นภาษาไทยได้ไม่ถูกใจเท่าไหร่ แต่การแปลเป็นภาษาอังกฤษก็เชื่อถือได้ไม่น้อย และที่ใช้บ่อย ๆ คือการให้แปลจากรูปถ่ายที่สะดวกมาก ๆ เช่นกัน


วันนี้ได้แป้งเค้กกึ่งสำเร็จรูปมา (แน่นอนว่าลดราคา ^_^) เจอคำอธิบายเป็นภาษาเยอรมัน ไม่ต้องคิดอะไรมากหยิบเจ้า Galaxy Nexus มาถ่ายรูปแล้วแปลเป็นภาษาอังกฤษ แต่คิดอีกทีไหน ๆ ก็ได้ Nokia Lumia 620 มาแล้ว ลองใช้สายไมโครซอฟต์แปลบ้างดีกว่า เปิด Bing Translator ลองถ่ายดูบ้าง ก็ใช้ได้เหมือนกันนะ


คำแปลอาจไม่เหมือนกันเป๊ะ แต่นับว่าใช้งานได้ดีทั้งสองค่ายครับ ส่วนตัวยังชอบวิธีใช้งานของสายแอนดรอยด์มากกว่า เพราะใช้วิธีจับภาพนิ่งแล้วให้เลือกบริเวณที่ต้องการแปลได้ตามต้องการ แต่ต้องยอมรับว่าสายวินโดวส์โฟนก็ใช้ง่าย เพียงวางภาพไว้ในเฟรมเครื่องก็แปลข้อความทั้งรูปให้ลอยเด่นขึ้นมาในรูปแบบ AR ทันที แต่วินโดวส์โฟนก็ยังมีข้อจำกัดด้านภาษาอยู่คือแปลจากภาพถ่ายได้เพียง 7 ภาษาเท่านั้น คือจีน อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาเลียน โปรตุกีส และสแปนิช


ณ ขณะนี้ต้องยอมรับว่าฟังก์ชันการแปลภาษาของกูเกิลใช้งานได้กว้างขวางและอเนกประสงค์กว่า แถมอัพเดตล่าสุดจาก AppDisqus ยังแจ้งว่ากูเกิลเพิ่มความสามารถแปลภาษาจากลายมือเขียนภาษาไทยลงในโปรแกรมแล้ว

จงสู้ต่อไป... วินโดวส์โฟน

วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2556

มาลด traffic จากการ update Debian และ Ubuntu ด้วย apt-cache กันดีกว่า

หลายหน่วยงานคงมีคอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการลินุกซ์กันอยู่ไม่มากก็น้อย ทางฝั่งเซอร์ฟเวอร์หลัก ๆ คงไม่พ้น RedHat, CentOS หรือไม่ก็ Debian แต่ระยะหลัง ๆ ก็เริ่มเห็น Ubuntu Server เพิ่มขึ้นมาบ้าง ขณะที่ฝั่งเดสก์ทอปโดยเฉพาะในบ้านเราคงหนีไม่พ้น Ubuntu เป็นส่วนใหญ่ แน่นอนว่ายิ่งมีคอมพิวเตอร์จำนวนมาก เวลาอัพเดตแต่ละครั้งย่อมเกิด traffic เยอะมากเช่นกัน หรือในห้องแล็บสำหรับการเรียนการสอนที่ต้องติดตั้งแพคเกจเพิ่มเติมเป็นประจำ บางครั้งกว่าจะติดตั้งเสร็จครบทุกเครื่องก็หมดชั่วโมงพอดี จะตั้ง mirror ไว้เองก็อาจเกินความจำเป็น แค่ใช้แคชมาช่วยเก็บแพคเกจเท่าที่ใช้จริงก็เพียงพอแล้ว

Apt-cache เซอร์ฟเวอร์

สำหรับครั้งนี้ขอกล่าวถึงระบบแคชสำหรับติดตั้งแพคเกจของ Debian และ Ubuntu กันก่อน ซึ่งถ้ามีเซอร์ฟเวอร์หรือเครื่องที่รัน Debian หรือ Ubuntu อยู่แล้วก็นำมาใช้ได้เลย จะเป็น text หรือ graphic mode ก็ได้ ขอแค่เข้าเน็ตไปดาวน์โหลดแพคเกจมาเก็บไว้ได้เท่านั้น ติดตั้งง่ายมากด้วยคำสั่งเพียงบรรทัดเดียว

apt-get install apt-cache

ถ้าให้ดี เครื่องที่ทำหน้าที่เป็น apt cache นี้ควรเป็นเครื่องที่เข้าเน็ตได้โดยไม่ต้องผ่านการ authenticate และควรเข้าถึงได้จากเครื่องอื่น ๆ ภายในองค์กรของตนได้ด้วยชื่อ ตั้งให้จำง่าย ๆ อย่าง abc ก็ได้ครับ หลังจากติดตั้งแล้วก็ต้องแก้ไขค่าต่าง ๆ เล็กน้อย ในไฟล์ /etc/apt-cacher/apt-cacher.conf ส่วนใหญ่ก็มีรายละเอียดอยู่แล้ว แค่ปลดคอมเมนต์หรือแก้ไขค่าตามต้องการบางข้อเท่านั้น

daemon_port = 3142

ปกติ apt-cache คอยรับการเชื่อมต่อที่พอร์ต 3142 แต่จริง ๆ โปรโตคอลที่ใช้ก็คือ HTTP และโปรแกรมที่ทำหน้าที่เป็นเว็บเซอร์ฟเวอร์ก็คือ Apache นั่นเอง ดังนั้นหากต้องการเข้าถึง cache ก็ใช้ http://abc:3142 ได้เลย หรือถ้าเครื่องนี้ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นเว็บเซอร์ฟเวอร์อยู่ จะใช้แคชเป็นเว็บหลักก็ย่อมได้ เพียงแก้ตัวเลือกนี้เป็น 80 เท่านั้น

allowed_hosts = 172.16.0.0/16; 192.168.1.0/24;

รายการหมายเลขไอพีของโฮสต์ที่สามารถเข้ามาใช้แคชได้ หน่วยงานไหนใช้ช่วงไอพีช่วงไหนก็ใส่ไว้ตามนั้นได้เลย คั่นไว้ด้วยเซมิโคลอนครับ

path_map = debian ftp.th.debian.org/debian; debian-sec security.debian.org; ubuntu th.archive.ubuntu.com/ubuntu; ubuntu-sec security.ubuntu.com/ubuntu;

ตัวเลือก path_map ใช้กำหนดชื่อสำหรับอ้างถึง mirror ของ apt source ต่าง ๆ ในที่นี้ต้องการใช้ apt-cache นี้สำหรับทั้ง Debian และ Ubuntu จึงมีรายละเอียดดังที่เห็นข้างต้น ซึ่งจริง ๆ รายการโฮสต์สำหรับมาใส่ในตัวเลือกนี้ก็ไปดูจาก /etc/apt/sources.list ของเครื่องไคลเอนต์ได้เลย

Sources.list ของไคลเอนต์

หลังจากกำหนดค่าต่าง ๆ บนเซอร์ฟเวอร์เสร็จแล้ว ทุกเครื่องทางฝั่งไคลเอนต์ก็ต้องแก้ไขไฟล์ /etc/apt/sources.list โดยใช้ชื่อที่กำหนดไว้ใน path_map ของเซอร์ฟเวอร์มาใช้ เช่นจากเดิม

deb http://ftp.th.debian.org/debian/ wheezy main
deb-src http://ftp.th.debian.org/debian/ wheezy main

deb http://security.debian.org/ wheezy/updates main
deb-src http://security.debian.org/ wheezy/updates main

แก้เป็น

deb http://abc:3142/debian wheezy main
deb-src http://abc:3142/debian wheezy main

deb http://abc:3142/debian-sec wheezy/updates main
deb-src  http://abc:3142/debian-sec wheezy/updates main

ซึ่งชื่อโฮสต์ abc ก็แก้ไขให้เป็นไปตามที่ใช้จริงได้เลย ในทางกลับกัน หากในตัวเลือก daemon_port กำหนดเป็น 80 ก็ไม่ต้องระบุ port ครับ

วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ประเดิม Nokia Lumia 620 ด้วยการ hard reset ที่นานที่สุดตั้งแต่เริ่มใช้มือถือ!


หลังจากคิดแล้วคิดอีกมาพักใหญ่ ในที่สุดก็ตัดสินใจซื้อเจ้า Nokia Lumia 620 มาทำความรู้จักกับ Windows Phone 8 สักหน่อย แม้เจ้าตัวเล็กนี่จะด้อยกว่าตัวอื่น ๆ แทบทุกอย่างทั้งซีพียู หน่วยความจำ ความละเอียดจอภาพและกล้อง แต่ก็มีของเล่นครบครันรวมถึง NFC อย่างน้อยก็เอามาลองได้ทุกอย่างไม่แพ้รุ่นพี่ ที่สำคัญราคามือสองอยู่ที่ราวสี่พันบาทบวกลบนิดหน่อย ถ้าจะขายต่อก็ไม่เจ็บตัวมาก ได้เครื่องมาแกะกล่องลองทุกอย่างใช้ได้ดีปกติไม่มีปัญหา เลยสั่งรีเซ็ตเครื่องเพิ่มเริ่มค่าตั้งต้นใหม่ มีข้อความเตือนว่าระวังข้อมูลหาย ไม่เป็นไรตั้งใจอยู่แล้ว จากนั้นไม่นานตาขวาก็เริ่มกระตุกเมื่อพบว่าฟันเฟืองในรูปหมุนไม่หยุดอยู่หลายนาที

ระหว่างรอลองค้นในเน็ตเจอกระทู้ในหลายเว็บมีคนถามถึงเวลาที่ใช้รีเซ็ตโทรศัพท์ตระกูล Windows Phone 8 เอาล่ะ อย่างน้อยก็ไม่ได้เจออยู่คนเดียว ทั้ง 820 และ 920 ก็มีอาการนี้เหมือนกัน หลายคนตอบมาช่างน่าตกใจว่าสามารถกินเวลาได้ตั้งแต่หลายสิบนาทียันสิบชั่วโมง!!! จากเดิมใช้แอนดรอยด์มานาน รีเซ็ตเครื่อง ลงรอมใหม่เป็นประจำ คุ้นชินกับข้อความบอกว่าอาจใช้เวลาถึง 5 นาทีหลังจากบูตเครื่องใหม่แต่ก็ไม่เคยถึงเลยสักครั้ง ถ้าบนวินโดวส์โฟนจะนานขนาดนี้เตือนผู้ใช้ไว้หน่อยก็ดีนะ

ปล่อยทิ้งไว้ทั้งคืนในที่สุดก็ลองปิดเปิดใหม่ หน้าจอฟันเฟืองกลับมาหมุนอยู่อีกราวเกือบสองชั่วโมงกว่าจะขึ้นมาให้เริ่มตั้งค่า แล้วเครื่องก็กลับมาทำงานได้ตามปกติ เล่นซะหวาดเสียว นึกว่าจะพังก่อนได้เริ่มใช้ซะแล้ว สรุปเวลาตั้งแต่เริ่มรีเซ็ตจนกลับมาใช้ได้ ราว 10 ชั่วโมง นานที่สุดตั้งแต่เริ่มใช้มือถือมา!

Update: เปิดเจอในเว็บ http://www.appdisqus.com/2013/04/28/brick-hard-reset.html บอกว่าอาการนี้เกิดจากตัวเครื่องจะทดสอบตัวเองว่าแบตพอหรือเปล่า ถ้าเห็นว่าอาจเหลือน้อยเกินกว่าจะอัพเดตได้สำเร็จก็จะค้างอยู่หน้าจอนี้ จริง ๆ แค่แสดงข้อความบอกผู้ใช้ หรือไม่ก็บอกก่อนกดรีเซ็ตก็ได้ให้เสียบปลั๊กซะก่อน ปวดใจกับวินโดวส์บนพีซีมาหลายครั้ง ตามมาปวดใจบนโทรศัพท์อีก คิดถูกหรือคิดผิดเนี่ย -_-"

เอาเป็นว่าใครเจอปัญหานี้ เอาเครื่องไปเสียบปลั๊ก กด volume down + ปิดเครื่องค้างไว้ เดี๋ยวเปิดใหม่สักพักก็น่าจะเรียบร้อยครับ

วันพฤหัสบดีที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ยอดขาย smart phone ครึ่งปีแรก 2013 Android นำลิ่ว iOS กับ Windows Phone ตามมาไกล ๆ ส่วน BB ท่าจะแย่

ผ่านไปครึ่งปีแล้ว หลายเว็บไซต์ก็เริ่มมีการสรุปยอดขายไตรมาสที่ 2 ออกมาให้บรรดาสาวกค่ายต่าง ๆ ได้ลุ้นก้นว่ายอดขายอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการตัวโปรดของตนทำการตลาดได้ดีแค่ไหน แน่นอนว่าค่ายที่ได้รับความนิยมสูง ๆ ย่อมดึงดูดนักพัฒนาซอฟต์แวร์ให้สร้างแอพดี ๆ มาให้ใช้กันก่อนค่ายอื่น เพราะถ้าอุตส่าห์ทุ่มแรงกายแรงใจพัฒนาแอพดี ๆ ออกมาแต่กลับไม่มีใครใช้แพลตฟอร์มนั้น ๆ โปรแกรมเมอร์คงเสียใจแย่

ข้อมูลจาก TechCrunch เห็นได้ว่ายอดขายโทรศัพท์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2013 สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปี 2012 ถึง 73.5% โดยขายได้ถึง 187.4 ล้านเครื่อง ถ้าเทียบกับโทรศัพท์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการอื่น นั่นคือสมาร์ทโฟน 8 ใน 10 เครื่องที่ขายในไตรมาส 2 นี้ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ จากตาราง ระบบปฏิบัติการยอดฮิตตลอดกาลอีกรายหนึ่งอย่าง iOS แม้จำนวนเครื่องที่ขายได้ดูไม่หวือหวา แต่ยอดขายก็เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วเช่นกัน ที่น่าสนใจคือ Windows Phone ที่แม้จะมีผู้ผลิตเพียงรายเดียวอย่างโนเกียที่ทุ่มหมดใจให้ไมโครซอฟต์ ขณะที่ HTC และซัมซุงต่างก็ดูจะถอยห่างไปเป็นระยะ ๆ แต่ยังทำยอดขายเพิ่มขึ้นได้ถึง 77.6% ซึ่งนับว่าเป็นที่ 1 ในเรื่องของยอดขายที่เพิ่มขึ้นเลยทีเดียว



จากตาราง แม้ BB จะไม่ได้อยู่อันดับสุดท้าย แต่ก็เป็นผู้เล่นหลักในตลาดสมาร์ทโฟนรายเดียวที่ยอดขายมีแนวโน้มลดลง ด้วยการมาของ BlackBerry OS 10 ที่สามารถรันแอพของแอนดรอยด์ได้ ก็อาจช่วยเพิ่มยอดขายให้ BB ได้บ้างแต่เรา ๆ ท่าน ๆ ในฐานะผู้พัฒนาแอพก็คงต้องจด ๆ จ้อง ๆ รอดูกันต่อไป ขอเอาใจช่วย BB ครับ แต่ระหว่างนี้ถ้าจะพัฒนาแอพให้เข้าถึงผู้ใช้แพร่หลายที่สุด สงสัยต้องเน้น Android เป็นอันดับแรกก่อนล่ะนะ

วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ปรับความละเอียดสำหรับการส่งออกภาพนิ่ง (dpi) ของ PowerPoint และ LibreOffice Impress

ไมโครซอฟต์เพาเวอร์พอยต์เป็นโปรแกรมนำเสนองานที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ความสามารถหนึ่งที่หลายคนคงเคยใช้คือการนำมาทำไดอะแกรม ทำแผนภาพ แล้วส่งออกไปใช้ในโปรแกรมอื่น ๆ ด้วยความสามารถวางออบเจ็คต์ต่าง ๆ ตามตำแหน่งที่ต้องการได้อย่างอิสระของเพาเวอร์พอยต์ พอทำเสร็จ ค่อยบันทึกไฟล์ให้เป็น JPG หรือ PNG เพียงเท่านี้ก็สามารถนำไฟล์ไปแทรกไว้ในเอกสารอื่น ๆ หรือส่งไปอัดเป็นรูปภาพตามร้านได้ง่าย ๆ แต่ภาพที่ส่งออกไปแม้จะดูคมชัดบนจอภาพ แต่พิมพ์ออกมากลับเกรนแตกใช้งานไม่ได้เลย เป็นเช่นนี้เนื่องจากความละเอียดของการส่งออกไฟล์ของเพาเวอร์พอยต์ตามปกติตั้งไว้เพียงแค่ 96 dpi เท่านั้น ขณะที่ความละเอียดสำหรับการพิมพ์ภาพถ่ายคือ 300 dpi

วันนี้มานั่งทำไดอะแกรมบนเพาเวอร์พอยต์ 2010 ตั้งใจจะส่งภาพออกไปแทรกในเอกสารเลยพบว่าไฟล์ที่ได้เกรนแตก นึกขึ้นมาได้ว่าตั้งแต่ติดตั้งเครื่องนี้มายังไม่เคยตั้งค่าใหม่นี่นา เคยทำตั้งแต่สมัยใช้ออฟฟิศ 2003 บนเครื่องเก่าเมื่อนานมาแล้ว เลยต้องอาศัยเว็บสนับสนุนของไมโครซอฟต์ http://support.microsoft.com/kb/827745/th ช่วยรื้อฟื้นวิธีตั้งค่ากลับมาอีกครั้ง สรุปรวม ๆ ก็คือการตั้งค่า dpi สำหรับการส่งออกภาพในเพาเวอร์พอยต์นั้น ต้องไปแก้ไขรีจิสตรี้ของระบบด้วยโปรแกรม regedit ไปแก้ไขที่

HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Office\XX.X\PowerPoint\Options

โดย XX.X ที่เห็นนั้นคือเลขเวอร์ชันที่เราใช้นั่นเอง เช่นออฟฟิศ 2010 ก็คือเวอร์ชัน 14.0 จากนั้น เข้าไปสร้างคีย์ใหม่ชนิด DWORD ขนาด 32 บิต ชื่อ ExportBitmapResolution กำหนดค่าตามต้องการ เช่นต้องการใช้ 300 dpi ก็ใส่ค่า 300 อย่าลืมเลือกเป็นเลขฐาน 10 หรือ decimal ด้วยครับ


คิดเล่น ๆ ฟังก์ชันนี้ จริง ๆ ก็น่าจะมีคนต้องการใช้หลายคน ขนาดบนเว็บไมโครซอฟต์เองยังต้องบอกวิธีตั้งค่าในรีจิสตรี้ไว้ให้ แถมมีตั้งแต่เวอร์ชัน 2003 ยัน 2013 ห่างกันถึง 10 ปี การตั้งค่าก็ง่ายดาย เพียงแค่ไปใส่เลขตัวเดียว แล้วทำไมพี่แกไม่ทำออกมาเป็นตัวเลือกในโปรแกรมซะเลย จะได้ไม่เสียเวลา แต่เอาเถอะ บ่นไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น จะว่าไป ไหน ๆ ก็ต้องกำหนดค่าใช้เพาเวอร์พอยต์แล้ว ไปกำหนดให้ลิเบอร์ออฟฟิศด้วยซะเลยดีกว่า ต่อไปจะใช้ตัวไหนจะได้ไม่เสียเวลามานั่งทำอีก แต่เดี๋ยวก่อน เปิดลิเบอร์ออฟฟิศอิมเพรสขึ้นมาลองส่งออกไฟล์ เจอกล่องโต้ตอบนี้ขึ้นมา


ตั้งค่าความละเอียด ความกว้าง ความสูงของภาพที่ส่งออกได้ทันที นี่แหละสิ่งที่ต้องการ ไม่ต้องไปยุ่งกับรีจิสตรี้ ใช้กับระบบปฏิบัติการอะไรก็ได้ บางครั้งก็รู้สึกว่านักพัฒนาซอฟต์แวร์ค่ายใหญ่ ๆ ก็ลืมคิดถึงอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้นะ

ว่าแล้ว เปลี่ยนมาใช้ลิเบอร์ออฟฟิศกันเถอะ ^_^